กาแฟกับสุขภาพ : คาเฟอีนในอาหารและเครื่องดื่ม
" การดื่มกาแฟ 1 ถ้วย (150 มิลลิลิตร) จะได้รับคาเฟอีนประมาณ 60-150 มิลลิกรัม "
- เวลาเราดื่มกาแฟว่า มีระดับคาเฟอีนเท่าไหร่เข้าไปแล้ว ก็จริงอย่างเขาว่า เพราะว่าคนเราไม่ได้มี มิเตอร์บอกปริมาณ คาเฟอีนซะหน่อยเนอะ ว่าแล้วก็ไปค้นเจอบทความดี ๆ เกี่ยวกับคาเฟอีนครั้งก่อนนอกจากจะมาเข้าใจเภสัชวิทยาของคาเฟอีนแล้ว ครั้งนี้ลองมาทำความเข้าใจในอีกแง่หนึ่ง เช่นว่า คาเฟอีนไม่ได้มีแต่ในกาแฟซะหน่อยแล้วมีที่ไหนบ้าง และ ต้องดื่มเท่าไหร่จึงจะพอดี
- ต้องทำใจให้เป็นกลางและเลิกเข้าข้างตัวเองแบบผิด ๆ ก่อนจะเอาบทความนี้มาลง
- การบริโภคคาเฟอีนของมนุษย์มีมานานนับพันๆ ปี
- การดื่มกาแฟ 1 ถ้วย (150 มิลลิลิตร) จะได้รับคาเฟอีนประมาณ 60-150 มิลลิกรัม ดื่มชา 1 ถ้วย จะได้รับคาเฟอีนประมาณ 40-80 มิลลิกรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการชงและชนิดของกาแฟหรือชา
- คนทั่วไปมักคิดว่าแหล่งของการได้รับคาเฟอีนมาจากการดื่มชาหรือกาแฟ แต่ความจริง "คาเฟอีน" (cafeine) เป็นสารเคมีที่พบในส่วนต่างๆ ของพืชกว่า 60 ชนิด ได้แก่ เมล็ดกาแฟ ใบชา ผลโกโก้ ผลโคล่า มาเต้กัวราน่า เป็นต้น พืชเหล่านี้สร้างคาเฟอีนขึ้นสะสมในส่วนต่างๆ ปริมาณมากน้อยต่างกันตามชนิดและสายพันธุ์
- มารู้จักคาแฟอีนกัน
- คาเฟอีนเป็นสารเคมีประเภทอัลคาลอยด์สามารถสกัดออกมาจากส่วนของพืชที่มีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบสารที่ได้เป็นผงสีขาว มีรสขม ละลายน้ำได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วภายใน 15 นาที ออกฤทธิ์ได้นาน 3-4 ชั่วโมง
- คาเฟอีนมีฤทธิ์สำคัญในการกระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้ระบบประสาทตื่นตัว และผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ลดอาการง่วงนอน และเพิ่มความทนในการออกกำลังกาย โดยไปชะลอความเมื่อยล้า ทำให้สามารถออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้นานขึ้น จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ ชา โกโก้ น้ำอัดลมประเภทโคล่าและเครื่องดื่มชูกำลังชนิดต่างๆ
- ปัจจุบันมีการนำสารคาเฟอีนสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีสังเคราะห์ขึ้นตามกระบวนการทางเคมี มาใช้ในการผลิตเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนหลายประเภท เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม กาแฟหรือชาพร้อมดื่มบรรจุกระป๋องหรือขวด เพื่อคงปริมาณคาเฟอีนให้อยู่ในระดับที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ หรือลดต้นทุนการผลิต โดยลดปริมาณวัตถุดิบจากธรรมชาติแต่ผสมการคาเฟอีนสังเคราะห์ลงไปแทน
- การดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละหลายขวดหรือหลายกระป๋องอาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนปริมาณมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้กำหนดให้เครื่องดื่มผสมกาเฟอีนมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสมได้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อหน่วยบรรจุ
- คาเฟอีนในอาหาร
- นอกจากเครื่องดื่มแล้วยังได้รับคาเฟอีนจากอาหารอื่น เช่น ช็อกโกแลต ขนมที่มีส่วนประกอบของช็อกโกแลตหรือกาแฟ เช่น ลูกอม เค้ก ขนมขบเคี้ยว สอดไส้ต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมของเด็กทั่วไป
- คนมีโอกาสได้รับคาเฟอีนจากอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด (ตาราง 1) ในปริมาณมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล เด็กนิยมดื่มน้ำอัดลมและกินช็อกโกแลต วัยรุ่นนิยมดื่มน้ำอัดลม ชาเขียว กาแฟกระป๋อง ผู้ใหญ่วัยทำงานนิยมดื่มชา กาแฟ ผู้ใช้แรงงานและนักกีฬานิยมดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง
- ชนชาติที่ดื่มชากาแฟเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น คนยุโรปมีการบริโภคคาเฟอีนสูงถึงวันละ 300-400 มิลลิกรัม จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนของ รศ.นพ.ยงยุทธ ขจรธรรม ในปี 2543 พบว่าคนไทยประมาณ 17.3 ล้านคน ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวัน และการศึกษาของ รศ.ดร.ทรงศักดิ์ ศรีอนุชาต พบว่าในกลุ่มคนไทยที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวันจะได้รับคาเฟอีน 200-250 มิลลิกรัมต่อวัน คนกรุงเทพฯ และภาคกลางนิยมดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากกว่าภาคอื่น
- ปัจจุบันกระแสการบริโภคกาแฟ ชาเขียว น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น การบริโภคคาเฟอีนในคนไทยน่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น ตาม ๆ กันไปด้วย
- การได้รับคาเฟอีนในปริมาณน้อยร่างกายจะมีกลไกกำจัดออกภายใน 24 ชั่วโมง แต่ทารกจะขจัดกาเฟอีนได้ช้ามาก รวมถึงผู้ป่วยโรคตับ และผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ตับกำจัดคาเฟอีนได้น้อยลง คนกลุ่มนี้จึงควรงดบริโภค เครื่องดื่ม ที่มีคาเฟอีน การได้รับคาเฟอีนไม่มากในคนปกติที่มีสุขภาพดีจะไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย
- มีการศึกษาพบว่าการได้รับคาเฟอีนวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 150 มิลลิลิตร 2-3 ถ้วย หรือน้ำอัดลม 6-8 กระป๋อง) ไม่ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ แต่ถ้าบริโภคเกิน 300 มิลลิกรัมเป็นประจำ อาจเกิดอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย กระวนกระวายใจ และหงุดหงิดเมื่อหยุดบริโภค
- คาเฟอีนไม่จัดเป็นสารเสพติด ผู้บริโภคอาจติดคาเฟอีนในลักษณะการบริโภคจนเป็นนิสัย เช่น ที่นิยมดื่มชากาแฟหลังอาหารเป็นประจำทุกวัน แต่สามารถหยุดได้โดยไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย
- คาเฟอีนกับสุขภาพ
- ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดขนาดการบริโภคที่ปลอดภัย แต่มีการศึกษาพบว่าอาการส่วนใหญ่ที่มักเกิดขึ้นหลังบริโภคคาเฟอีน 200-500 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 2-5 ถ้วย) คือ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ เครียด แต่ถ้าบริโภคในปริมาณสูงเกิน 600 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 6-8 ถ้วย) เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย วิตกกังวล หงุดหงิด มือสั่น ตัวร้อน นอนไม่หลับ ปัสสาวะบ่อย กล้ามเนื้อกระตุก หัวใจเต้นแรงและเร็ว
- ถ้าบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาแฟอีนสูงถึง 1,000 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 10-15 ถ้วย) จะทำให้เกิดพิษรุนแรง มีอาการกระสับกระส่าย หายใจเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องแบบตะคริว หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น ความดันเลือดสูง กล้ามเนื้อเกร็ง ชัก
- ขนาดที่ทำให้เสียชีวิต คือคาเฟอีนมากกว่า 5,000-10,000 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ (เท่ากับกาแฟ 50-100 ถ้วย) ในเด็กประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม โดยต้องได้รับจากการบริโภคในครั้งเดียว ซึ่งเป็นปริมาณที่คนโดยทั่วไปไม่สามารถได้รับจากการดื่ม เครื่องดื่มหรือบริโภคอาหารตามปกติ มักพบในผู้ตั้งใจฆ่าตัวตายโดยการกินหรือฉีดยาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนในปริมาณมาก
- ปริมาณกาเฟอีนและเครื่องดื่มต่างๆ
ประเภทอาหาร ปริมาณคาเฟอีน
(มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค หรือขนาดบรรจุ)ข้อมูลการวิเคราะห์ของ
สถาบันวิจัยโภชนาการข้อมูลของประเทศ
สหรัฐอเมริกากาแฟคั่วบด 64-124 มก. ต่อ 150 มล. กาแฟผงสำเร็จรูป 22-87 มก. ต่อ 2 กรัม 40-180 มก. ต่อ 150 มล. กาแฟผงสำเร็จรูปสกัดกาเฟอีน 0.5-2 มก. ต่อ 2 กรัม 2-5 มก. ต่อ 150 กาแฟดำพร้อมดื่ม (กระป๋อง) 94-131 มก. ต่อ 180 มล. กาแฟผสมนมพร้อมดื่ม (กระป๋อง) 47-167 มก. ต่อ 180 มล. ใบชาชง/ชาชนิดซอง 30-80 มก. ต่อ 2 กรัม 28-48 มก. ต่อ 150 มล. ชาผงสำเร็จรูป 18-26 มก.ต่อ 0.7 กรัม 12-28 มก. ต่อ 150 มล. ชาสำเร็จรูปพร้อมดื่ม 16-158 มก. ต่อ 250 มล. ชาเขียวพร้อมดื่ม 21-51 มก. ต่อ 250 มล. เครื่องดื่มประเภทโคล่า 29-65 มก. ต่อ 325 มล. 38-46 มก. ต่อ 355 มล. เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน 40-78 มก. ต่อ 150 มล. 15-48 มก. ต่อ 150 มล. เครื่องดื่มโกโก้ร้อน 5-30 มก. ต่อ 180 มล. ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต 3-10 มก. ต่อ 50 กรัม 3-50 มก. ต่อ 60 กรัม คุกกี้ผสมช็อกโกแลต 1-15 มก. ต่อ 50 กรัม ผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ 4-15 มก. ต่อ 50 กรัม ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม 0.5-20 มก. ต่อ 1 ถ้วย (55 กรัม) 8-85 มก. ต่อ 1 ถ้วย ผลิตภัณฑ์ลูกอม 0-46 มก. ต่อ 50 กรัม 2.5-10 มก. ต่อ 50 กรัม ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า (cereal) 1-7 มก. ต่อ 50 กรัม
- หมายเหตุ มก. = ตัวย่อของหน่วยบอกน้ำหนัก คือ มิลลิกรัม มล. = ตัวย่อของหน่วยบอกปริมาตร คือ มิลลิลิตร.
- ผลเสียสำคัญของคาเฟอีนคือ ทำให้นอนหลับยาก ซึ่งเกิดจากฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมอง ทำให้เกิดการตื่นตัว ไม่ง่วงนอน โดยขึ้นอยู่กับความไวของแต่ละบุคคลต่อการออกฤทธิ์ของคาเฟอีน จึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนใกล้เวลานอนโดยเฉพาะเด็ก พบว่าการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นสมองของเด็ก ทำให้นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นง่าย กระสนกระวาย หงุดหงิดง่าย การนอนหลับไม่เพียงพอย่อมส่งผลต่อพัฒนาสมรรถภาพทางสติปัญญาและร่างกายได้
- สำหรับผลเสียต่อการตั้งครรภ์นั้นการวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถชี้ถึงผลเสียด้านนี้ได้ชัดเจน พบว่าการได้รับคาเฟอีนวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัม ระหว่างตั้งครรภ์ไม่มีผลต่อขนาดทารก แต่มีการศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่าการได้รับคาเฟอีนมากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวัน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรในบางช่วงของการตั้งครรภ์ ดังนั้น สตรีมีครรภ์และมารดาที่ให้นมบุตรควรบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนแต่น้อย ถ้างดได้ควรงดเพราะทารกจะได้รับคาเฟอีนจากแม่ ซึ่งจะมีผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ของทารกได้
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ ไม่ควรดื่มกาแฟ ในผู้ใหญ่เองก็ไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 ถ้วย อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดโรคและอาการต่างๆ ได้ เช่น อาการวิตกกังวล หลอดเลือดหดตัว ความดันเลือดสูง ไตทำงานหนักขึ้น เร่งการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกนำไปสู่การเพิ่มปัญหาโรคกระดูกพรุน ดังนั้น สตรีที่อายุมากจึงไม่ควรดื่มกาแฟเกินวันละ 2-3 ถ้วย นอกจากนี้ คาเฟอีนยังมีผลเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะ
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ หัวใจ ตับ ความดันเลือดสูง และผู้ที่ไวต่อการได้รับคาเฟอีน ควรงดดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- จำหน่าย ขายทั้งปลีก และ ส่ง เมล็ดกาแฟคั่วสดดอยช้าง เกรด ฟรีเมียม ดอยช้าง และ กาแฟสาร พร้อมคั่ว และรับตัวแทนจำหน่าย สนใจติดต่อ คุณ วีระเดช ชัยชนะ , โทร.089-982-7892 , Email : cveeradech@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น